![]() |
อคูเลเล่ |
อูคูเลเล่ เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดย 3 หนุ่ม มานูเอล นูเนส, โฆเซ่ โด เอสฟิริโต้ และ ออกัสโต ดิอัส ประดิษฐ์ ขึ้นมาจากการผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นเมืองของโปรตุเกสคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก 2 ชนิด คือ "คาเวคินนู" และ "ราเฆา"
ต่อมา ผู้อพยพชาวโปรตุเกสจากเกาะมาเดียร่าและเคป แวร์เด้ เดินทางไปเกาะฮาวายและนำเครื่องดนตรีชนิดนี้ติดมือไปด้วย จากนั้นมา เครื่องดนตรีดังกล่าวได้รับความนิยมกันทั่วเกาะฮาวาย เพราะกษัตริย์เดวิด คาลากาอัว ของฮาวายชอบเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก
ชื่อ "อูคูเลเล่" เป็นภาษาฮาวาย แปลเป็นภาษาอังกฤษคร่าวๆ ได้ว่า "หมัดกระโดด" จากลีลาการเล่นนั่นเองเพราะเวลาคนเล่นอูคูเลเล่ นิ้วบนเฟรตดูเหมือนหมัดกระโดดไปมา
ส่วน "ราชินีลิลิอูโอกาลานิ" ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮาวาย กล่าวว่า "อูคูเลเล่" มาจากคำว่า "อูคู" ซึ่งมีความหมายว่า "ของขวัญ" และ "เลเล่" หมายถึง "การมาถึง" ดังนั้น อูคูเลเล่จึงหมายถึง "ของขวัญที่มาถึงที่นี่"
อูคูเลเล่ยังมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า "อู๊ก" (uke) หรือ "ยูก" ด้วย
ในสมัยแรกๆ เพลงที่ได้รับความนิยมในการเล่นอูคูเลเล่เป็นเพลงพื้นเมืองของฮาวาย และต่อมานักดนตรีชาวอเมริกัน ชื่อ รอย สเม็ก และ คลิฟฟ์ เอ็ดเวิร์ด นำอูคูเลเล่เข้าไปเผยแพร่ในอเมริกา
ไม่นานนัก อูคูเลเล่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวงแจ๊ซในอเมริกาและได้รับความนิยมเมื่อ 90 กว่าปีมาแล้ว เมื่อถึงยุคร็อกแอนด์โรล อูคูเลเล่ก็กลายเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างสีสันให้กับเสียงเพลงไม่น้อย นักดนตรีดังๆ ในสมัยนั้น เช่น เรกัล ฮาร์โมนี และ มาร์ติน นำอูคูเลเล่มาเล่นกับแบนโจ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาริโอ้ มักคาเฟอริ ผู้ผลิตพลาสติกคิดทำอูคูเลเล่จากพลาสติกขึ้นมาเป็นรายแรกและมียอดขายถึง 9 ล้านชิ้นเพราะราคาไม่แพง กระแสความนิยมอูคูเลเล่ยิ่งดังมากขึ้น เมื่อนำไปใช้ในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ดิ อาร์เธอร์ก็อดฟรีย์ โชว์ ทางทีวีในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม อูคูเลเล่ถึงขาลงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาจนถึง 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีผู้ผลิตอูคูเลเล่ขึ้นมาอีกครั้งและดังกว่าเดิม จากการบรรเลงของ อิสราเอล คามาคาวิโวโอเล่ ที่เล่นเพลง โอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ และ ว็อต อะ วันเดอร์ฟูล เวิลด์ ซึ่งมีภาพยนตร์หลายเรื่องนำ 2 เพลงนี้ไปใช้จนเป็นที่นิยมกันทั่วไป
ในยุคนี้ เจสัน มราซ นำอูคูเลเล่มาเล่นในเพลง แอม ยัวส์ จนติดหูคนฟังไปทั่วโลก
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ อูคูเลเล่ Ukulele
Ukulele มีขนาดมาตราฐานอยู่ทั้งหมด 4 ขนาด โดยขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Tenor, Soprano และ Concert ตามลำดับครับ สำหรับขนาด Soprano, Concert และ Tenor มีวิธีเล่นเหมือนกัน โดยมีการจูนเสียงที่เป็นมาตราฐานสากลทั่วโลก เรียกว่า C tuning ก็คือจูนแบบ GCEA ไล่ลงมาตั้งแต่สายที่ 4(บนสุด) ลงไป สายที่1 (ล่างสุด) ดูวีธีการจูนได้ที่ หน้าตั้งเสียง http://www.ukulelethai.com/ukulele/ukulele-tuning.html ส่วนขนาด Baritone จะมีการจูนเสียงที่แตกต่างไปจากขนาดอื่นๆ คือ จูนเหมือน 4สายล่างของ กีตาร์ธรรมดา คือ DGBE ซึ่งก็หมายถึง เวลาเราจะจับคอร์ด ก็ต้องจับแตกต่างไปจาก Soprano, Concert และ Tenor ทำให้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยมกัน แต่ก็เริ่มมีผู้ผลิตสาย ukulele หลายราย เริ่มทำสายที่จูนแบบ GCEA สำหรับ ukulele ขนาด Baritone ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ค่อยไ้ด้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากเสน่ห์ของ ukulele ก็คือ ความเล็ก ที่คุณภาพไม่เล็ก ของมัน แต่เจ้า Baritone นี่ มีขนาดใหญ่สุด ทำให้ได้เสียงที่ใหญ่ๆทุ้มๆ คล้ายกีตาร์เกินไป คนก็เลยยังไม่นิยมกัน

การเล่นอูคูเลเล่ วิธีเล่นอูคูเลเล่
วิธีการเล่น อูคูเลเล่ นะครับ ก่อนอื่นหวังว่า ทุกคนมีอูคูเลเล่ ดีๆ ซักตัว เพื่อจะใช้เล่นเพลงแล้วนะครับ การเล่น อูคูเลเล่ มีการพื้นฐานอยู่ 2 แบบ
การเล่น อูคูเลเล่ แบบแรก คือ การตีคอร์ด หรือการเล่นอูคูเลเล่ แบบตีคอร์ด ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Strumming theUkulele ซึ่งก็คือ การเล่นอูคูเลเล่ โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ ดีด ไปที่สายอูคูเลเล่ ( ดีด = Strum ) ทั้ง 4 สายในคราวเดียวกัน การเล่นอูคูเลเล่ แบบนี้ เป็นลักษณะเดียวกันกับการตีคอร์ดกีต้าร์นั่นแหละครับ ส่วนการเล่นอูคูเลเล่อีกแบบหนึ่ง เรียกว่า
การเล่นอูคูเลเล่ แบบ Finger picking style ในภาษาไทยรู้สึก จะเรียกว่า การเกา เหมือนที่เรามักจะได้ยินว่า เกากีต้าร์ อันนี้ก็เป็นการเล่นอูคูเลเล่ แบบเกาเหมือนกัน เรียกว่า เกาอูคูเลเล่ หรือ การเล่นอูคูเลเล่แบบเกาคงพอจะเข้าใจการเล่นอูคูเลเล่ แบบคร่าวๆ นะครับ แล้ว Teacher Bob จะอธิบายการเล่นอูคูเลเล่ ทั้ง 2 แบบ อย่างละเอียดอีกทีนะครับ
วีธีเลือกซื้อ อูคูเลเล่
(กีตาร์ฮาวาย)
วิธีเลือกซื้อ อคูเลเล่1. อู๊คที่ดี ต้องไม่ใช่สวยแค่รูปนะครับ เสียงเป็นส่วนที่สำคัญกว่า (เว้นเสียแต่ว่า จะซื้อมาตั้งโชว์เฉย ๆ) แต่ให้ดีที่สุดคือ เสียงและรูปควรจะดีทั้งคู่ ลวดลายที่ฝังมุก ทำขอบคิ้วไม่ได้มีผลกับเสียง ถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วย บางยี่ห้อใส่เครื่องประดับเข้าไปเยอะ เสียงทึบและหนักเข้าไปอีก
2. ไม้ที่ใช้ทำมีส่วนสำคัญมาก ไม้แต่ละชนิดจะให้เสียงแตกต่างกันไป ถ้าพอจะมีกำลังทรัพย์ ขอแนะนำให้ซื้อไม้ที่เป็น ไม้แท้ทั้งตัว (solid) จะดีกว่าไม้อัด (composite หรือ plywood) ยกตัวอย่าง ไม้ all solid mahogany ก็จะทำจาก mahogany ทั้งแผ่น ไม่ผสมอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นไม้ composite อาจจะเป็นลักษณะที่่ว่า นำไม้อัดมาทำแล้วใช้ mahogany แผ่นบาง ๆ แปะด้านหน้าเพื่อความสวยงาม
3. ไม้ที่เป็น solid ยิ่งเล่น เสียงจะยิ่งดีขึ้นตามกาลเวลา เก็บให้เก่าอย่างเดียวก็จะไม่ดีเท่าเก็บแล้วเล่น ต้องเล่นให้ไม้มันได้สั่น ได้ดิ้นหน่ะครับ
4. เสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี แล้วน้ำหนักจะเบาลง เพราะไม้จะแห้ง สังเกตอู๊ครุ่นเก่า ๆ จะเบากว่าตัวใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงาน โดยส่วนตัวแล้วถ้าซื้อของมือสองแล้วเสียงมันดี ผมว่าดีกว่าซื้อมือหนึ่งแต่เสียงไม่ดี (แล้วก็ไม่แน่ว่าอีกอีกปีเสียงมันจะดีขึ้นมา)
5. สังเกตบริเวณรอยต่อต่าง ๆ ควรจะต้องหนาแน่น จุดที่ควรระวังคือบริเวณ คอ และบริเวณ bridge (ส่วนที่สายด้านล่างลงมาร้อย) ใช้ไปนาน ๆ บางทีคอเบี้ยว คอคด ส่วนที่เป็น bridge ถ้ากาวไม่หนาแน่น มันอาจจะหลุดออกมาได้ เพราะแรงดึงของสาย (บางยี่ห้อ ยังไม่ทันจะไขให้สายตึงได้ทูน ไขไป bridge ดังแก๊ก ๆ ๆ ๆ แล้ว) ถ้าซื้อของมือสองให้สังเกตุว่า มีรอยกาวหรือรอยซ่อมบริเวณ คอ หรือ bridge หรือเปล่า ไม้ที่ผ่านการซ่อมแซมมักจะมีรอยให้เห็น เช่นรอยเดิมกับรอยใหม่อาจจะไม่ทับกันพอดี หรือมีกาวที่ล้นเกินออกมา อู๊คเก่า ๆ คุณภาพงานดีอย่างของ Martin หรือ Kamaka อายุหกเจ็ดสิบปี ไม่เคยมีปัญหา
6. วางอู๊คในแนวระนาบ แล้วเล็งดูว่าไม้มีการคดงอหรือไม่ แนบตาลงไปจนชิดกับส่วนท้ายของอู๊ค แล้วส่องไปที่ส่วนหัว เราควรจะเห็นเฟรทบอร์ดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ ถ้าอู๊คคอเบี้ยว จะมองออกว่าเฟร็ดไม่อยู่ในแนวระนาบ อู๊คใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหานี้ (แต่ก็ไม่แน่) ส่วนมากอู๊คเก่า ๆ จะเป็นเนื่องจากเก็บไม่ถูกวิธี
7. ลองขยับ ไข tuners ดูว่าหลวมหรือเปล่า ไขได้คล่องมั้ย ถ้าเป็น friction tuners เราอาจจะต้องไขหมุดโลหะด้านบนสุดก่อน (แล้วมันจะแน่นขึ้น) แต่ก็ไม่ควรไขจนหมุนไปไหนไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับไม้ได้
8. ลูบ ๆ คลำ ๆ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของเฟทบอร์ด ควรจะถูกตะไบให้เรียบร้อย ไม่ให้มีส่วนแหลมคม คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นแล้วเฟรทแทงฉึก เลือดพุ่ง
9. ลูบ ๆ คลำ ๆ (อีกแล้ว) ไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าแล็คเกอร์ถูกทาสมำ่เสมอทั่วตัว (เว้นรุ่นผิวด้าน อาจจะดูยากนิดนึง)
10. สังเกตโดยรอบว่ามีรอยแตก รอยหัก รอยบิ่น รอยข่วนใด ๆ หรือไม่ ของมือหนึ่งไม่ควรจะเป็นรอย ของมือสองอาจจะมีรอยบ้าง ถ้าเป็นแค่รอยข่วน (scratch) ที่ผิวแลกเกอร์ไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากการผ่านการเล่น ผ่านการสตรัม แต่ถ้าเป็นรอยแตกของเนื้อไม้ (crack) ต้องระวังให้ดี เพราะเล่นไปนาน ๆ อาจจะแตกเพิ่มถ้าไม่ซ่อมแซม แต่บางรอยแตกเป็น แบบแตกบาง ๆ (hairline crack) ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ถ้ารอยแตกใหญ่ถึงขนาดที่ส่องอู๊คกับไฟแล้วเห็นทะลุลอดไปได้ ควรจะระวังเป็นพิเศษ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอู๊คเก่า ๆ บางตัว (เห็นมากับตา ฟังมากับหู) มีรูโหว่เบ้อเร่อ แตกบิ่นทั่วร่าง แต่เสียงโคตรดี
อ้อ..อย่าลืมส่องดูข้างใน sound hole เผื่อเจอแมงมุมทำรังอยู่ ระวังโดนกัด สังเกตดูพวก braces (กระดูกงู หรือเปล่า) ที่อยู่ตามขอบด้านใน ว่างานเรียบร้อยดี
11. ดมดู (อย่างเพิ่งขำไป) ถ้าซื้อของเก่ามือสอง กลิ่นควรจะเก่า ๆ ถ้ากลิ่นใหม่ให้พึงระวังว่า อาจจะผ่านการซ่อมแซมและทาแลกเกอร์ใหม่ทับ
12. Intonation ควรจะถูกต้อง แต่ละเฟรทควรจะมีโน้ตที่ถูกต้อง ถ้ามีเครื่อง digital tuner ก็ไช้ไล่ไปเลยทีละช่อง เทียบกับตารางโน้ต ที่เฟรท 12 เสียงควรจะกลับมาเป็น G C E A
13. สตรัมเพลงโปรดสักเพลงสองเพลง แล้วลองฟังดู อาจจะให้เพื่อนไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วช่วยฟัง tone และharmonic เสียงควรจะกลมกล่อม ไม่ควรมีโน้ตใดโน้ตหนึ่งกระโดดดึ๋งออกมา โดยไม่ได้รับเชิญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราฟัง เราเล่น แล้วเราชอบ ก็ไม่ต้องไปสนใจใคร
วิธีเลือกซื้อ อคูเลเล่1. อู๊คที่ดี ต้องไม่ใช่สวยแค่รูปนะครับ เสียงเป็นส่วนที่สำคัญกว่า (เว้นเสียแต่ว่า จะซื้อมาตั้งโชว์เฉย ๆ) แต่ให้ดีที่สุดคือ เสียงและรูปควรจะดีทั้งคู่ ลวดลายที่ฝังมุก ทำขอบคิ้วไม่ได้มีผลกับเสียง ถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วย บางยี่ห้อใส่เครื่องประดับเข้าไปเยอะ เสียงทึบและหนักเข้าไปอีก
2. ไม้ที่ใช้ทำมีส่วนสำคัญมาก ไม้แต่ละชนิดจะให้เสียงแตกต่างกันไป ถ้าพอจะมีกำลังทรัพย์ ขอแนะนำให้ซื้อไม้ที่เป็น ไม้แท้ทั้งตัว (solid) จะดีกว่าไม้อัด (composite หรือ plywood) ยกตัวอย่าง ไม้ all solid mahogany ก็จะทำจาก mahogany ทั้งแผ่น ไม่ผสมอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นไม้ composite อาจจะเป็นลักษณะที่่ว่า นำไม้อัดมาทำแล้วใช้ mahogany แผ่นบาง ๆ แปะด้านหน้าเพื่อความสวยงาม
3. ไม้ที่เป็น solid ยิ่งเล่น เสียงจะยิ่งดีขึ้นตามกาลเวลา เก็บให้เก่าอย่างเดียวก็จะไม่ดีเท่าเก็บแล้วเล่น ต้องเล่นให้ไม้มันได้สั่น ได้ดิ้นหน่ะครับ
4. เสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี แล้วน้ำหนักจะเบาลง เพราะไม้จะแห้ง สังเกตอู๊ครุ่นเก่า ๆ จะเบากว่าตัวใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงาน โดยส่วนตัวแล้วถ้าซื้อของมือสองแล้วเสียงมันดี ผมว่าดีกว่าซื้อมือหนึ่งแต่เสียงไม่ดี (แล้วก็ไม่แน่ว่าอีกอีกปีเสียงมันจะดีขึ้นมา)
5. สังเกตบริเวณรอยต่อต่าง ๆ ควรจะต้องหนาแน่น จุดที่ควรระวังคือบริเวณ คอ และบริเวณ bridge (ส่วนที่สายด้านล่างลงมาร้อย) ใช้ไปนาน ๆ บางทีคอเบี้ยว คอคด ส่วนที่เป็น bridge ถ้ากาวไม่หนาแน่น มันอาจจะหลุดออกมาได้ เพราะแรงดึงของสาย (บางยี่ห้อ ยังไม่ทันจะไขให้สายตึงได้ทูน ไขไป bridge ดังแก๊ก ๆ ๆ ๆ แล้ว) ถ้าซื้อของมือสองให้สังเกตุว่า มีรอยกาวหรือรอยซ่อมบริเวณ คอ หรือ bridge หรือเปล่า ไม้ที่ผ่านการซ่อมแซมมักจะมีรอยให้เห็น เช่นรอยเดิมกับรอยใหม่อาจจะไม่ทับกันพอดี หรือมีกาวที่ล้นเกินออกมา อู๊คเก่า ๆ คุณภาพงานดีอย่างของ Martin หรือ Kamaka อายุหกเจ็ดสิบปี ไม่เคยมีปัญหา
6. วางอู๊คในแนวระนาบ แล้วเล็งดูว่าไม้มีการคดงอหรือไม่ แนบตาลงไปจนชิดกับส่วนท้ายของอู๊ค แล้วส่องไปที่ส่วนหัว เราควรจะเห็นเฟรทบอร์ดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ ถ้าอู๊คคอเบี้ยว จะมองออกว่าเฟร็ดไม่อยู่ในแนวระนาบ อู๊คใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหานี้ (แต่ก็ไม่แน่) ส่วนมากอู๊คเก่า ๆ จะเป็นเนื่องจากเก็บไม่ถูกวิธี
7. ลองขยับ ไข tuners ดูว่าหลวมหรือเปล่า ไขได้คล่องมั้ย ถ้าเป็น friction tuners เราอาจจะต้องไขหมุดโลหะด้านบนสุดก่อน (แล้วมันจะแน่นขึ้น) แต่ก็ไม่ควรไขจนหมุนไปไหนไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับไม้ได้
8. ลูบ ๆ คลำ ๆ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของเฟทบอร์ด ควรจะถูกตะไบให้เรียบร้อย ไม่ให้มีส่วนแหลมคม คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นแล้วเฟรทแทงฉึก เลือดพุ่ง
9. ลูบ ๆ คลำ ๆ (อีกแล้ว) ไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าแล็คเกอร์ถูกทาสมำ่เสมอทั่วตัว (เว้นรุ่นผิวด้าน อาจจะดูยากนิดนึง)
10. สังเกตโดยรอบว่ามีรอยแตก รอยหัก รอยบิ่น รอยข่วนใด ๆ หรือไม่ ของมือหนึ่งไม่ควรจะเป็นรอย ของมือสองอาจจะมีรอยบ้าง ถ้าเป็นแค่รอยข่วน (scratch) ที่ผิวแลกเกอร์ไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากการผ่านการเล่น ผ่านการสตรัม แต่ถ้าเป็นรอยแตกของเนื้อไม้ (crack) ต้องระวังให้ดี เพราะเล่นไปนาน ๆ อาจจะแตกเพิ่มถ้าไม่ซ่อมแซม แต่บางรอยแตกเป็น แบบแตกบาง ๆ (hairline crack) ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ถ้ารอยแตกใหญ่ถึงขนาดที่ส่องอู๊คกับไฟแล้วเห็นทะลุลอดไปได้ ควรจะระวังเป็นพิเศษ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอู๊คเก่า ๆ บางตัว (เห็นมากับตา ฟังมากับหู) มีรูโหว่เบ้อเร่อ แตกบิ่นทั่วร่าง แต่เสียงโคตรดี
อ้อ..อย่าลืมส่องดูข้างใน sound hole เผื่อเจอแมงมุมทำรังอยู่ ระวังโดนกัด สังเกตดูพวก braces (กระดูกงู หรือเปล่า) ที่อยู่ตามขอบด้านใน ว่างานเรียบร้อยดี
11. ดมดู (อย่างเพิ่งขำไป) ถ้าซื้อของเก่ามือสอง กลิ่นควรจะเก่า ๆ ถ้ากลิ่นใหม่ให้พึงระวังว่า อาจจะผ่านการซ่อมแซมและทาแลกเกอร์ใหม่ทับ
12. Intonation ควรจะถูกต้อง แต่ละเฟรทควรจะมีโน้ตที่ถูกต้อง ถ้ามีเครื่อง digital tuner ก็ไช้ไล่ไปเลยทีละช่อง เทียบกับตารางโน้ต ที่เฟรท 12 เสียงควรจะกลับมาเป็น G C E A
13. สตรัมเพลงโปรดสักเพลงสองเพลง แล้วลองฟังดู อาจจะให้เพื่อนไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วช่วยฟัง tone และharmonic เสียงควรจะกลมกล่อม ไม่ควรมีโน้ตใดโน้ตหนึ่งกระโดดดึ๋งออกมา โดยไม่ได้รับเชิญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราฟัง เราเล่น แล้วเราชอบ ก็ไม่ต้องไปสนใจใคร
Credit : www.google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น