วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศูนย์วิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
ศูนย์วิทยบริการ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

เลขที่ 1 ถ. อู่ทองนอก แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

                     ประวัติศูนย์วิทยบริการ
ศูนย์วิทยบริการสวนสุนันทา เริ่มมีพัฒนาการมาจากห้องสมุดโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2480 ณ อุโมงค์ใต้เนินพระนางฯ ก่อนเป็นการชั่วคราว ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่อาคารสายสุทธานพดล พ.ศ. 2500 ได้ย้ายไปอยู่ที่อาคาร 1 (อาคารกรรณาภรณ์พิพัฒน์) มีขนาด 2 ห้องเรียน ระยะนี้ห้องสมุดเริ่มปฏิบัติงานทุกอย่างที่เป็นระบบสากลนิยม โดยในปี พ.ศ. 2517 วิทยาลัยครูสวนสุนันทา ได้รับงบประมาณสร้างอาคาร หอสมุด 2 ชั้น เป็นอาคารเอกเทศ และได้รับการเปลี่ยนฐานะจากห้องสมุด มาเป็นหอสมุดวิทยาลัยครูสวนสุนันทา ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการอำนวยการหอสมุด ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานหอสมุดเป็นไปตามหลักวิชาบรรณารักษศาสตร์อย่างแท้จริง ตาม พ.ร.บ.วิทยาลัยครู พ.ศ.2518

พ.ศ. 2528 ได้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2527 ซึ่งกำหนดให้แผนกห้องสมุดมีฐานะเป็นฝ่ายหอสมุด ขึ้นอยู่กับสำนักส่งเสริมวิชาการซึ่งขึ้นตรง
ต่อรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ

พ.ศ. 2535 วิทยาลัยครูได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช เป็น “สถาบันราชภัฏ”ส่วนในงานของฝ่ายหอสมุดได้มีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ดำเนินงาน
โดยใช้โปรแกรม Mini Micro CDS / ISIS

พ.ศ. 2538 วิทยาลัยครูได้เปลี่ยนเป็น “สถาบันราชภัฏ” อย่างถูกต้องตากฎหมาย และตามการแบ่งส่วนราชการในสถาบันราชภัฏ ได้กำหนดให้ฝ่ายหอสมุดมีฐานะเปลี่ยนไปเป็น
“สำนักวิทยบริการ” และสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ได้รับงบประมาณเพื่อจัดสร้างอาคารสำนัก
วิทยบริการ 4 ชั้น สร้างเสร็จเรียบร้อยในเดือน ตุลาคม 2541 ลังจากนั้นได้ทำทางเดินเชื่อมอาคารหอสมุดเก่ากับอาคารหลังใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า “อาคารเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 6 รอบ”

15 กุมภาพันธ์ 2542 ศูนย์วิทยบริการเริ่มเปิดบริการให้แก่ อาจารย์ นักศึกษาและ
เจ้าหน้าที่ของสถาบันฯ โดยนำระบบห้องสมุดอัตโนมัติโปรแกรม Alice for Windows มา ใช้ภายใต้การบริหารงานของผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการ และดำเนินงานโดย อาจารย์บรรณารักษ์ 8 คน และเจ้าหน้าที่ 36 คน
ต่อมาปี พ.ศ. 2543 ได้มีการต่อเติมอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ชั้น 5 เพิ่มเติมเพื่อขยายการให้บริการตำราวิชาการ งานวิจัยสำหรับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งตำราวิชาการในโครงการ
ตำราราชภัฏเฉลิมพระเกียรติฯ ห้องสมุดศูนย์พุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ

ปลายปีการศึกษา 2544 สถาบันมีนโยบายสร้างอาคารศูนย์คอมพิวเตอร์และภาษาเคียงข้างอาคารหอสมุด จึงจำเป็นต้องรื้อถอนอาคารหอสมุดในส่วนที่เป็นสำนักงานของ
ฝ่ายเลขานุการ สำนักวิทยบริการ จึงต้องยุบห้องสมุดสำหรับคนพิการ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานฝ่ายเลขานุการ อีกส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่มุมเด็ก และย้ายมุมเด็กไปจัดไว้ที่ ชั้น 1
ห้องโถงหน้าลิฟท์ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ

ปี 2545 ศูนย์วิทยบริการได้ดำเนินนโยบายในการพัฒนาศูนย์วิทยบริการให้พร้อม
ที่จะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ทั้งในด้านของการขยายระบบเครือข่าย มีการติดตั้งและเพิ่มเติมจุดด้วยสายเคเบิลใยแก้ว เพื่อให้ระบบเครือข่ายทำงานด้วยความเร็วสูงขึ้น ประกอบกับศูนย์วิทยบริการได้งบประมาณแผ่นดินในการจัดหาครุภัณฑ์หลักด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ให้สอดคล้องกับการขยายเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของสถาบัน เช่น คอมพิวเตอร์
50 เครื่อง สำหรับรองรับการขยายปริมาณการให้บริการค้นคืนที่ทันสมัยทุก รูปแบบแลอุปกรณ์
หลักด้านการจัดเก็บข้อมูลที่หลากหลายในระบบอัตโนมัติ มีการพัฒนาเว็บไซต์ของศูนย์วิทยบริการให้ทันสมัยและต่อเนื่องสม่ำเสมอ อีกทั้งได้จัดหาฐานข้อมูลออนไลน์มาเพิ่มเติมอีกหลายรายวิชา มีการสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ฐานข้อมูลท้องถิ่น ฐานข้อมูลรูปภาพ เป็นต้น

พ.ศ. 2547 คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาแห่งชาติ (สปศ.) ได้เสนอยกฐานะให้สถาบันราชภัฏ เป็นมหาวิทยาลัย มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เพื่อให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2547

พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่และสำนักวิทยบริการ ได้เปลี่ยนฐานะเป็นศูนย์วิทยบริการ สังกัดสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งขึ้นตรงต่อรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ

พ.ศ. 2549 มหาวิทยาลัยฯ รื้อถอนอาคารหอสมุด เพื่อสร้างอาคารใหม่ ศูนย์วิทยบริการได้ย้ายทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมด มาให้บริการ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ เพียงอาคารเดียว

               
กลางปี พ.ศ. 2552 อาคารใหม่สร้างแล้วเสร็จ มีชื่ออาคารว่า “อาคารศูนย์วิทยบริการและสำนักงานอธิการบดี”..โดยศูนย์วิทยบริการได้พื้นที่บริเวณชั้นลอยของอาคารเป็นจุดบริการยืม-คืน บริการสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง และพื้นที่ชั้น 2 สำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ต

ศูนย์วิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 19.00 น. โดยเปิดให้บริการแก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไป  

                                                      Credit : http://www.ssru.ac.th
 
 
ร้าน บ้านก๋วยเตี๋ยว ร้านนี้มีดีที่รสชาติ
          ก๋วยเตี้ยว หากเอ่ยถึงคำนี้ ทำให้นึกถึง เส้นนุ่มๆ ลูกชิ้นเด้งๆ หรือ จะนํ้าซุปหวานๆ ไม่ว่าใครก็ชอบ ติดอกติดใจ เจ้าก๋วยเตี้ยวนี้ วันนี้ ผมจะมาแนะนำ ร้านก๋วยเตี้ยว แนวๆ สำหรับคนวัยมัน อย่างเราๆท่านๆกันครับ
         ร้านที่ ผม จะแนะนำ ก็คือ ร้าน "บ้านก๋วยเตี๋ยว" ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอย สวนอ้อย แยกที่ 2
ลักษณะของร้าน มี 2 ชั้น พื้นเป็นไม้ อาจจะ ดู คับแคบไปบ้าง แต่ด้วยรสชาติของก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ทำให้ หยวนๆกันไป
         สำหรับ บรรยากาศของร้าน นั่นส่วนมาก ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักศึกษา บรรยากาศเป็นกันเอง สามารถเห็น ทิวทัศน์ ด้านล่างได้จาก ชั้น 2  ทางร้านบริการดี อัธยาศัยดี และ บริการได้รวดเร็ว
            สำหรับ เมนู แนะนำของร้านนี้ก็คือ

"ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ร้อนๆชามนี่ ครับเส้นนุ่มๆ เนื้อวัวอย่างดี บวกกับ  ลูกชิ้นเด้งๆ ตาม  ด้วย นํ้าซุปหวานๆ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ"
ร้านนี้ไม่ได้ มีแค่ก๋วยเตี๋ยวนะครับ ยังมี อาหารตามสั่ง ให้เราเลือกรับประทานอีกมากมายหลายเมนู ซึ่งรสชาตินั่นก็ ไม่แพ้ ก๋วยเตี๋ยวเลยทีเดียวครับ

"กระเพราหมู ราดข้าวสวยร้อนๆโปะด้วยไข่ดาวใบโตๆ รสชาติกลมกล่อม เผ็ดกำลังดี อร่อยขั้นเทพเลยเชียวครับ"

      ร้านนี้ มี นํ้าดื่มให้บริการฟรี ส่วน เครื่องดื่มต่างๆมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นํ้าอัดลม ชานม ชาเย็น โอเลี้ยง นํ้ากระเจี๊ยบ นํ้าลำไย เป็นต้น
สำหรับเรื่องราคานั่น ถือว่า ลงตัว เหมาะสม ก๋วยเตี้ยวที่นี้ ธรรมดา 35 บาท พิเศษ 40 บาท เช่น
เดียวกับอาหารตามสั่ง ธรรมดา 35 บาท พิเศษ 40 บาท
     ร้านนี้เปิดขาย ทุกวัน ไม่มีวันหยุด การเดินทางก็แสนสะดวก โดยสามารถ เดินทางได้หลายทาง ซึ่งร้านนี้ ตั้งอยู่ในซอยสวนอ้อย มีป้ายบอกหน้าร้านชัดเจน หรือถ้ามาไม่ถูก ก็ลองถามชาวบ้านแถวนั้นดูได้ครับ รับรองได้เลยว่า คุณจะไม่ผิดหวังกับ "บ้านก๋วยเตี๋ยว"อย่างแน่นอนครับ



อคูเลเล่
            อูกูเลเล (ฮาวาย: ʻukulele [ˈʔukuˈlɛlɛ]; อังกฤษ: ukelele (BrE) หรือ ukulele (AmE) เป็นเครื่องดีด (chordophone) ซึ่งจัดเข้าพวกเป็นกระจับปี่ (plucked lute) อย่างหนึ่ง และเป็นรูปแบบย่อยรูปแบบหนึ่งของวงศ์กีตาร์ มีรูปลักษณ์คล้ายกีตาร์อันเล็ก แต่ขึงสายสำหรับดีดสี่สายทำจากไนลอนหรือเชือกอย่างอื่น อูกูเลเลมีกำเนิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยชาวฮาวายซึ่งนำเอากีตาร์น้อย ประเภท กาวักกีโญ (cavaquinho) กับ ราเคา (rajão) มาประสมกัน กีตาร์น้อยทั้งสองนี้ชาวโปรตุเกสซึ่งอพยพเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้นำมาสู่ฮาวาย ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อูกูเลเลได้รับความนิยมเป็นอันมากภายนอกสหรัฐอเมริกา และนับจากนั้นก็แพร่หลายทั่วไป  แนวและระดับเสียงของอูกูเลเลนั้นแล้วแต่ขนาดและโครงสร้างของมัน ซึ่งปรกติมักทำเป็นสี่ขนาด คือ โซปราโน, กงแซร์, เทอเนอร์ และแบริโทน
          อูคูเลเล่ เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดย 3 หนุ่ม มานูเอล นูเนส, โฆเซ่ โด เอสฟิริโต้ และ ออกัสโต ดิอัส ประดิษฐ์ ขึ้นมาจากการผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นเมืองของโปรตุเกสคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก 2 ชนิด คือ "คาเวคินนู" และ "ราเฆา"



ต่อมา ผู้อพยพชาวโปรตุเกสจากเกาะมาเดียร่าและเคป แวร์เด้ เดินทางไปเกาะฮาวายและนำเครื่องดนตรีชนิดนี้ติดมือไปด้วย จากนั้นมา เครื่องดนตรีดังกล่าวได้รับความนิยมกันทั่วเกาะฮาวาย เพราะกษัตริย์เดวิด คาลากาอัว ของฮาวายชอบเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก

ชื่อ "อูคูเลเล่" เป็นภาษาฮาวาย แปลเป็นภาษาอังกฤษคร่าวๆ ได้ว่า "หมัดกระโดด" จากลีลาการเล่นนั่นเองเพราะเวลาคนเล่นอูคูเลเล่ นิ้วบนเฟรตดูเหมือนหมัดกระโดดไปมา

ส่วน "ราชินีลิลิอูโอกาลานิ" ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮาวาย กล่าวว่า "อูคูเลเล่" มาจากคำว่า "อูคู" ซึ่งมีความหมายว่า "ของขวัญ" และ "เลเล่" หมายถึง "การมาถึง" ดังนั้น อูคูเลเล่จึงหมายถึง "ของขวัญที่มาถึงที่นี่"

อูคูเลเล่ยังมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า "อู๊ก" (uke) หรือ "ยูก" ด้วย

ในสมัยแรกๆ เพลงที่ได้รับความนิยมในการเล่นอูคูเลเล่เป็นเพลงพื้นเมืองของฮาวาย และต่อมานักดนตรีชาวอเมริกัน ชื่อ รอย สเม็ก และ คลิฟฟ์ เอ็ดเวิร์ด นำอูคูเลเล่เข้าไปเผยแพร่ในอเมริกา

ไม่นานนัก อูคูเลเล่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวงแจ๊ซในอเมริกาและได้รับความนิยมเมื่อ 90 กว่าปีมาแล้ว เมื่อถึงยุคร็อกแอนด์โรล อูคูเลเล่ก็กลายเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างสีสันให้กับเสียงเพลงไม่น้อย นักดนตรีดังๆ ในสมัยนั้น เช่น เรกัล ฮาร์โมนี และ มาร์ติน นำอูคูเลเล่มาเล่นกับแบนโจ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาริโอ้ มักคาเฟอริ ผู้ผลิตพลาสติกคิดทำอูคูเลเล่จากพลาสติกขึ้นมาเป็นรายแรกและมียอดขายถึง 9 ล้านชิ้นเพราะราคาไม่แพง กระแสความนิยมอูคูเลเล่ยิ่งดังมากขึ้น เมื่อนำไปใช้ในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ดิ อาร์เธอร์ก็อดฟรีย์ โชว์ ทางทีวีในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม อูคูเลเล่ถึงขาลงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาจนถึง 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีผู้ผลิตอูคูเลเล่ขึ้นมาอีกครั้งและดังกว่าเดิม จากการบรรเลงของ อิสราเอล คามาคาวิโวโอเล่ ที่เล่นเพลง โอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ และ ว็อต อะ วันเดอร์ฟูล เวิลด์ ซึ่งมีภาพยนตร์หลายเรื่องนำ 2 เพลงนี้ไปใช้จนเป็นที่นิยมกันทั่วไป

ในยุคนี้ เจสัน มราซ นำอูคูเลเล่มาเล่นในเพลง แอม ยัวส์ จนติดหูคนฟังไปทั่วโลก
     ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ อูคูเลเล่ Ukulele
Ukulele มีขนาดมาตราฐานอยู่ทั้งหมด 4 ขนาด โดยขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Tenor, Soprano และ Concert ตามลำดับครับ สำหรับขนาด Soprano, Concert และ Tenor มีวิธีเล่นเหมือนกัน โดยมีการจูนเสียงที่เป็นมาตราฐานสากลทั่วโลก เรียกว่า C tuning ก็คือจูนแบบ GCEA ไล่ลงมาตั้งแต่สายที่ 4(บนสุด) ลงไป สายที่1 (ล่างสุด) ดูวีธีการจูนได้ที่ หน้าตั้งเสียง http://www.ukulelethai.com/ukulele/ukulele-tuning.html ส่วนขนาด Baritone จะมีการจูนเสียงที่แตกต่างไปจากขนาดอื่นๆ คือ จูนเหมือน 4สายล่างของ กีตาร์ธรรมดา คือ DGBE ซึ่งก็หมายถึง เวลาเราจะจับคอร์ด ก็ต้องจับแตกต่างไปจาก Soprano, Concert และ Tenor ทำให้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยมกัน แต่ก็เริ่มมีผู้ผลิตสาย ukulele หลายราย เริ่มทำสายที่จูนแบบ GCEA สำหรับ ukulele ขนาด Baritone ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ค่อยไ้ด้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากเสน่ห์ของ ukulele ก็คือ ความเล็ก ที่คุณภาพไม่เล็ก ของมัน แต่เจ้า Baritone นี่ มีขนาดใหญ่สุด ทำให้ได้เสียงที่ใหญ่ๆทุ้มๆ คล้ายกีตาร์เกินไป คนก็เลยยังไม่นิยมกัน
Soprano มีขนาดความยาวประมาณ 21 นิ้ว มีจำนวน fret ขนาดมาตราฐานที่ 12 frets ซึ่งจะเป็นจำนวน fret จาก nut ถึงตัว body ที่ 12 frets จูนสายเป็น GCEA โดยถือเป็นขนาดมาตราฐานแท้ๆ ดั้งเดิมของ ukulele ในบางรุ่นก็มีจำนวน fret มากขึ้นเป็น 14 frets หรือมากกว่า แต่จะเป็น fret ที่เพิ่มเข้ามาอยู่บริเวณตัว body แต่ก็ยังมี ukulele บางรุ่น ที่ใช้ตัว body เป็นขนาด soprano แต่ใช้ fingerboard เป็น Concert scale แทน เพื่อเพิ่มจำนวน frets ให้มากขึ้น โดยจะเรียกว่า Super Soprano นอกจากนี้ก็มี บางรุ่นที่ใช้ body เป็น soprano แต่ใช้ fingerboard เป็น tenor scale เช่น Ohana SK-30L Longneck  นักดนตรีที่ใช้ Soprano ขนาดมาตราฐาน เช่น Ohta-san ใช้เล่นเพลง Hawaii Concert มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิดนึง โดยมีความยาวประมาณ 23 นิ้ว จูนสายเป็น GCEA มีขนาด fingerboard ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดเช่นกัน โดยจะมีประมาณ 14 ถึง 17 frets ซึ่งจะเป็นจำนวน fret จาก nut ถึงตัว body ที่ 14 frets และบางรุ่นอาจมี fret มากกว่า แต่ก็จะเพิ่มเข้ามาในส่วนของตัว bodyTenor มีขนาดใหญ่กว่า concert โดยมีความยาวประมาณ 26 นิ้ว จุนสายเป็น GCEA หรือบางคน จูนเป็น gCEA คือให้สายที่ 4 มีเสียงเป็น G ต่ำ (Low G) มีจำนวน fret ประมาณ 17 ถึง 19 frets โดยจะเป็นจำนวน fret จาก nut ถึงตัว body ที่ 14 frets เหมือนกัน fret ที่เพิ่มเข้ามาจะอยู่ในส่วนของตัว body ผู้ที่เล่นกีตาร์อยู่แล้ว จะชื่นชอบ ukulele ขนาดนี้ เนื่องจากขนาดเสียงที่ใกล้เคียงกีตาร์ และ fingerboard ที่สามารถรองรับ การเล่นตัวโน็ตต่างๆ และการเล่นที่หลากหลาย นักดนตรีที่มืชื่อเสียง เช่น Jake Shimabukuro ก็ใช้ tenor ในการเล่นเพลง While my guitar gently weep และ Israel Kamakawiwo'Ole กับเพลง Somewhere Over The Rainbow

การเล่นอูคูเลเล่ วิธีเล่นอูคูเลเล่

          วิธีการเล่น อูคูเลเล่ นะครับ ก่อนอื่นหวังว่า ทุกคนมีอูคูเลเล่ ดีๆ ซักตัว เพื่อจะใช้เล่นเพลงแล้วนะครับ การเล่น อูคูเลเล่ มีการพื้นฐานอยู่ 2 แบบ
          การเล่น อูคูเลเล่ แบบแรก คือ การตีคอร์ด หรือการเล่นอูคูเลเล่ แบบตีคอร์ด ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Strumming  theUkulele ซึ่งก็คือ การเล่นอูคูเลเล่ โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ ดีด ไปที่สายอูคูเลเล่ ( ดีด = Strum ) ทั้ง 4 สายในคราวเดียวกัน การเล่นอูคูเลเล่ แบบนี้ เป็นลักษณะเดียวกันกับการตีคอร์ดกีต้าร์นั่นแหละครับ ส่วนการเล่นอูคูเลเล่อีกแบบหนึ่ง เรียกว่า
            การเล่นอูคูเลเล่ แบบ Finger picking style ในภาษาไทยรู้สึก จะเรียกว่า การเกา เหมือนที่เรามักจะได้ยินว่า เกากีต้าร์ อันนี้ก็เป็นการเล่นอูคูเลเล่ แบบเกาเหมือนกัน เรียกว่า เกาอูคูเลเล่ หรือ การเล่นอูคูเลเล่แบบเกาคงพอจะเข้าใจการเล่นอูคูเลเล่ แบบคร่าวๆ นะครับ แล้ว Teacher Bob จะอธิบายการเล่นอูคูเลเล่ ทั้ง 2 แบบ อย่างละเอียดอีกทีนะครับ
วีธีเลือกซื้อ อูคูเลเล่ (กีตาร์ฮาวาย)

วิธีเลือกซื้อ อคูเลเล่1. อู๊คที่ดี ต้องไม่ใช่สวยแค่รูปนะครับ เสียงเป็นส่วนที่สำคัญกว่า (เว้นเสียแต่ว่า จะซื้อมาตั้งโชว์เฉย ๆ) แต่ให้ดีที่สุดคือ เสียงและรูปควรจะดีทั้งคู่ ลวดลายที่ฝังมุก ทำขอบคิ้วไม่ได้มีผลกับเสียง ถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วย บางยี่ห้อใส่เครื่องประดับเข้าไปเยอะ เสียงทึบและหนักเข้าไปอีก

2. ไม้ที่ใช้ทำมีส่วนสำคัญมาก ไม้แต่ละชนิดจะให้เสียงแตกต่างกันไป ถ้าพอจะมีกำลังทรัพย์ ขอแนะนำให้ซื้อไม้ที่เป็น ไม้แท้ทั้งตัว (solid) จะดีกว่าไม้อัด (composite หรือ plywood) ยกตัวอย่าง ไม้ all solid mahogany ก็จะทำจาก mahogany ทั้งแผ่น ไม่ผสมอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นไม้ composite อาจจะเป็นลักษณะที่่ว่า นำไม้อัดมาทำแล้วใช้ mahogany แผ่นบาง ๆ แปะด้านหน้าเพื่อความสวยงาม

3. ไม้ที่เป็น solid ยิ่งเล่น เสียงจะยิ่งดีขึ้นตามกาลเวลา เก็บให้เก่าอย่างเดียวก็จะไม่ดีเท่าเก็บแล้วเล่น ต้องเล่นให้ไม้มันได้สั่น ได้ดิ้นหน่ะครับ

4. เสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี แล้วน้ำหนักจะเบาลง เพราะไม้จะแห้ง สังเกตอู๊ครุ่นเก่า ๆ จะเบากว่าตัวใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงาน โดยส่วนตัวแล้วถ้าซื้อของมือสองแล้วเสียงมันดี ผมว่าดีกว่าซื้อมือหนึ่งแต่เสียงไม่ดี (แล้วก็ไม่แน่ว่าอีกอีกปีเสียงมันจะดีขึ้นมา)

5. สังเกตบริเวณรอยต่อต่าง ๆ ควรจะต้องหนาแน่น จุดที่ควรระวังคือบริเวณ คอ และบริเวณ bridge (ส่วนที่สายด้านล่างลงมาร้อย) ใช้ไปนาน ๆ บางทีคอเบี้ยว คอคด ส่วนที่เป็น bridge ถ้ากาวไม่หนาแน่น มันอาจจะหลุดออกมาได้ เพราะแรงดึงของสาย (บางยี่ห้อ ยังไม่ทันจะไขให้สายตึงได้ทูน ไขไป bridge ดังแก๊ก ๆ ๆ ๆ แล้ว) ถ้าซื้อของมือสองให้สังเกตุว่า มีรอยกาวหรือรอยซ่อมบริเวณ คอ หรือ bridge หรือเปล่า ไม้ที่ผ่านการซ่อมแซมมักจะมีรอยให้เห็น เช่นรอยเดิมกับรอยใหม่อาจจะไม่ทับกันพอดี หรือมีกาวที่ล้นเกินออกมา อู๊คเก่า ๆ คุณภาพงานดีอย่างของ Martin หรือ Kamaka อายุหกเจ็ดสิบปี ไม่เคยมีปัญหา

6. วางอู๊คในแนวระนาบ แล้วเล็งดูว่าไม้มีการคดงอหรือไม่ แนบตาลงไปจนชิดกับส่วนท้ายของอู๊ค แล้วส่องไปที่ส่วนหัว เราควรจะเห็นเฟรทบอร์ดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ ถ้าอู๊คคอเบี้ยว จะมองออกว่าเฟร็ดไม่อยู่ในแนวระนาบ อู๊คใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหานี้ (แต่ก็ไม่แน่) ส่วนมากอู๊คเก่า ๆ จะเป็นเนื่องจากเก็บไม่ถูกวิธี

7. ลองขยับ ไข tuners ดูว่าหลวมหรือเปล่า ไขได้คล่องมั้ย ถ้าเป็น friction tuners เราอาจจะต้องไขหมุดโลหะด้านบนสุดก่อน (แล้วมันจะแน่นขึ้น) แต่ก็ไม่ควรไขจนหมุนไปไหนไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับไม้ได้

8. ลูบ ๆ คลำ ๆ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของเฟทบอร์ด ควรจะถูกตะไบให้เรียบร้อย ไม่ให้มีส่วนแหลมคม คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นแล้วเฟรทแทงฉึก เลือดพุ่ง

9. ลูบ ๆ คลำ ๆ (อีกแล้ว) ไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าแล็คเกอร์ถูกทาสมำ่เสมอทั่วตัว (เว้นรุ่นผิวด้าน อาจจะดูยากนิดนึง)

10. สังเกตโดยรอบว่ามีรอยแตก รอยหัก รอยบิ่น รอยข่วนใด ๆ หรือไม่ ของมือหนึ่งไม่ควรจะเป็นรอย ของมือสองอาจจะมีรอยบ้าง ถ้าเป็นแค่รอยข่วน (scratch) ที่ผิวแลกเกอร์ไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากการผ่านการเล่น ผ่านการสตรัม แต่ถ้าเป็นรอยแตกของเนื้อไม้ (crack) ต้องระวังให้ดี เพราะเล่นไปนาน ๆ อาจจะแตกเพิ่มถ้าไม่ซ่อมแซม แต่บางรอยแตกเป็น แบบแตกบาง ๆ (hairline crack) ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ถ้ารอยแตกใหญ่ถึงขนาดที่ส่องอู๊คกับไฟแล้วเห็นทะลุลอดไปได้ ควรจะระวังเป็นพิเศษ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอู๊คเก่า ๆ บางตัว (เห็นมากับตา ฟังมากับหู) มีรูโหว่เบ้อเร่อ แตกบิ่นทั่วร่าง แต่เสียงโคตรดี

อ้อ..อย่าลืมส่องดูข้างใน sound hole เผื่อเจอแมงมุมทำรังอยู่ ระวังโดนกัด สังเกตดูพวก braces (กระดูกงู หรือเปล่า) ที่อยู่ตามขอบด้านใน ว่างานเรียบร้อยดี

11. ดมดู (อย่างเพิ่งขำไป) ถ้าซื้อของเก่ามือสอง กลิ่นควรจะเก่า ๆ ถ้ากลิ่นใหม่ให้พึงระวังว่า อาจจะผ่านการซ่อมแซมและทาแลกเกอร์ใหม่ทับ

12. Intonation ควรจะถูกต้อง แต่ละเฟรทควรจะมีโน้ตที่ถูกต้อง ถ้ามีเครื่อง digital tuner ก็ไช้ไล่ไปเลยทีละช่อง เทียบกับตารางโน้ต ที่เฟรท 12 เสียงควรจะกลับมาเป็น G C E A

13. สตรัมเพลงโปรดสักเพลงสองเพลง แล้วลองฟังดู อาจจะให้เพื่อนไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วช่วยฟัง tone และharmonic เสียงควรจะกลมกล่อม ไม่ควรมีโน้ตใดโน้ตหนึ่งกระโดดดึ๋งออกมา โดยไม่ได้รับเชิญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราฟัง เราเล่น แล้วเราชอบ ก็ไม่ต้องไปสนใจใคร

Credit : www.google.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นั่งรถไฟเที่ยวหัวหิน
ปู๊น ปู๊น นานแค่ไหนแล้วครับ ที่คุณไม่ได้นั่งรถไฟไปเที่ยว?
          
แม้รถไฟไทยจะเป็นพาหนะ ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันมานานแสนนาน เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดก็รู้จักกันแล้ว แต่เชื่อเหลือเกินครับว่ายังมีอีกหลายคนนัก ที่ยังไม่เคยได้ลองสัมผัสการเดินทางรูปแบบนี้มาก่อน หรือบางคนอาจเคยนั่งรถไฟกันมาบ้าง แต่ก็อาจจะแสนนาน จนลืมภาพบรรยากาศเหล่านั้นไปซะแล้ว
            
เราขอถือโอกาสนี้ชวนคุณมาทำความรู้จัก หรือทบทวนภาพความทรงจำ การท่องเที่ยวที่แสนคลาสสิค ไปกับโปรแกรมการท่องเที่ยวด้วยรถไฟขบวนพิเศษ กรุงเทพฯ-หัวหิน-กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่องาน “ไม้หมอน Mart” งานดีๆ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ร่วมกันจัดขึ้น

ทริปนี้จะพิเศษอย่างไร เราเก็บเรื่องราว และภาพความประทับใจมาให้ชมกันครับ
  
ตลาดซื้อ-ขาย “แพกเกจทัวร์” บนรถไฟ เมื่อออกมาจากสถานีหัวลำโพงได้เพียงครู่ เราเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่เมื่อตามไปดูจึงรู้ว่ากำลังเลือกซื้อหาแพกเกจ (Package) ท่องเที่ยวโดนๆ กันอยู่นี่เอง 

  นี่แหล่ะครับ ความพิเศษแรกของทริป “ไม้หมอน Mart” หรือศูนย์การค้าบนไม้หมอน (รถไฟ) ซึ่งงานนี้ เค้านำผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ มาเปิดซุ้มแนะนำ และขายแพกเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม ให้กับบรรดากลุ่มบริษัทชั้นนำและนักท่องเที่ยวทั่วไป ได้เลือกซื้อเลือกช้อปกันอย่างจุใจ ขณะรถไฟกำลังแล่นฉิว
       
เมื่อเข้าตลาด (บนรถไฟ) โอนเอน ฉึกฉัก... ซื้อหาแพกเกจทัวร์กันจนหนำใจ หลายคนกลับมานั่งประจำที่ ตักตวงภาพความสวยงาม สองข้างทางรถไฟอยู่พอควร ก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้วครับ
ถึงแล้วจ้า...ชานชาลาหัวหิน
หลังอิ่มเอมกับบรรยากาศสวยๆ บนรถไฟอยู่ราว 4 ชั่วโมงเศษ เมื่อขบวนรถไฟของเราเทียบชานชาลาที่หัวหิน สิ่งแรกซึ่งสวยเด่นสะดุดตา คือ อาคารทำการของสถานีที่ทำจากไม้โบราณ แต่ด้วยการตั้งใจอนุรักษ์อย่างดีเยี่ยม จึงทำให้อาคารแห่งนี้ ยังคงแข็งแรงและมีสีสันสดสวย อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
   
นอกจากความสวยงามของสถานีแล้ว อีกสิ่งที่งดงามไม่แพ้กันคือ “พลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ” พลับพลาจตุรมุขที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งเดิมทีมีชื่อว่า “พลับพลาสนามจันทร์” ตั้งอยู่ ณ สนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เพื่อใช้ในการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จประทับทอดพระเนตรกองเสือป่า และลูกเสือทั่วประเทศที่มาฝึกซ้อมยุทธวิธีประจำทุกปี ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัย การรถไฟฯ จึงได้ทำการรื้อถอนและย้ายมาไว้ ณ สถานนีรถไฟแห่งนี้
                                                   เที่ยวชมศิลปะ “วิกหัวหิน”
หลังลงจากรถไฟ เราต่อรถยนต์เดินทางมาถึงอีกสถานที่ ซึ่งทริปนี้จัดให้เราได้ไปเที่ยวชมในยามบ่ายแก่ๆ คือ วิกหัวหิน” ศิลปสถานเพื่อการละคร อันสวยงามของ “ครูเล็ก - ภัทราวดี มีชูธนบนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ที่วิกหัวหินนี้ มีศิลปะอันงดงามให้เราได้เดินชมอย่างจุใจ ทั้งงานประติมากรรมหลากหลาย รวมถึง “โดมดอกไม้” โรงละครกลางแจ้ง ที่ทำจากโครงเหล็กประดับด้วยไม้เลื้อยตามธรรมชาติ แม้เราจะไปถึงยามบ่ายอากาศร้อน แต่เมื่อได้อยู่ในโดม มันช่างสดชื่น ปลอดโปร่ง ซะจริงเชียว

อีกทีเด็ดคือ “บ้านนายดี” บ้านดินที่พร้อมเปิดให้ผู้สนใจได้เช่าพัก ซึ่งความพิเศษของบ้านพักนี้อยู่ที่ การออกแบบและปั้นขึ้นมาได้อย่าง น่ารัก น่าชัง โดยฝีมือของ “นายดี ช้างหม้อ” (ดุษฎี รักษ์มณี) ศิลปินชื่อดัง ผู้รักและหลงใหลงานปั้นเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าหากแวะมาพักที่นี่ ไม่เพียงแต่จะได้รับความสะดวกสบายของสถานที่เท่านั้น หากแต่ยังได้เสพศิลปะ อันงดงามที่ศิลปินผู้สร้างได้ถ่ายทอดไว้อีกด้วย

แถมท้ายอีกนิด สำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการแสดงต่างๆ วิกหัวหิน มีการแสดงไว้รอต้อนรับผู้มาเยือนในทุกค่ำวันเสาร์ด้วยนะครับ และหากใครอยากส่งเสริมบุตรหลานให้ได้เรียนการแสดงอย่างจริงจัง ที่นี่ได้เปิดเป็น “โรงเรียน ภัทราวดีมัธยมศึกษา หัวหิน” จัดการเรียนการสอนวิชาทั่วไปตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ และเน้นเพิ่มเติมในหลากหลายวิชาการแสดงด้วยครับ
                                                                             ช้อปชิวๆ ใน “ซิเคด้า มาร์เก็ต”
เมื่อยามค่ำมาถึง เราไม่ยอมหลับโดยมิได้ออกตระเวณหัวหินยามราตรี หรอกครับ ทริปนี้ก็แสนใจดีพาเราเดินทางมาที่ซิเคด้า มาร์เก็ต (Cicada Market) หรือตลาดจักจั่นครับ
     
      
ตลาดแห่งนี้ ถือเป็นตลาดมาแรง ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก พอแดดร่ม ลมตก นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ก็เดินทางกันมาที่นี่โดยมิต้องนัดหมาย ด้วยแรงดึงดูดจากบรรยากาศภายในตลาด ที่จัดขึ้นในสวนสวยบนพื้นที่กว่า 10 ไร่ของ “เดอะเวนิว แอท สวนศรี” ทำให้ไม่ว่าใคร ก็ต้องอยากมาลองเดินช้อปชิวๆ ในที่สุดสวยแบบนี้กันทั้งนั้น

ตลาดแห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็น 4 โซนด้วยกันคือ Art A La Mode โซนที่จำหน่ายสินค้าแฮนด์เมด(Handmade) ไอเดียบรรเจิดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงของแต่งบ้านสุดกิ๊บเก๋ ส่วนโซนที่สองคือ Art Indoor โซนจัดแสดงนิทรรศการภาพศิลปะอันสวยงาม โซนที่สาม Art of Act ส่วนของเวทีกลางแจ้ง สำหรับจัดคอนเสิร์ต ดนตรี และ การแสดงต่างๆ ที่จะมีเหล่าศิลปินมากหน้าหลายตา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแสดงให้คุณได้ชมกันฟรี ๆ และท้ายสุด Art of Eating โซนจำหน่ายอาหารเด็ด เมนูขึ้นชื่อของเมืองหัวหินครับ
     
      
สำหรับตลาดซิเคด้า ตั้งอยู่ที่ สวนศรี ถ.หัวหิน-เขาตะเกียบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยตลาดแห่งนี้เค้าเปิดทุกวัน ศุกร์-เสาร์ ตั้งแต่ 16.00-22.00 น. และ วันในอาทิตย์ เวลา 16.00-23.00 น.ครับ
แวะชิมไวน์ กลางทิวเขาที่ “ไร่องุ่นหัวหิน ฮิลล์วินยาร์ด”
ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ เรายังพอมีเวลาเหลือสบายๆ แวะไปชิมไวน์ (Wine) และชมไร่องุ่น ท่ามกลางทิวเขาเมืองหัวหินครับ
     
      
องุ่นบนพื้นที่กว่า 220 ไร่ ของหัวหินฮิลล์ วินยาร์ด (Hua Hin Hills Vineyard) แห่งนี้ ถือเป็นไร่องุ่นแห่งแรก และแห่งเดียวในอำเภอหัวหินค่ะ เมื่อมาถึงที่นี่เราได้บรรยากาศแปลกใหม่ชะมัด ก็แหม เมื่อพูดถึงหัวหิน ก็ต้องนึกถึงแต่ทะเล พอได้มาเจอไร่องุ่นกว้าง สุดลูกหูลูกตา ที่แวดล้อมไปด้วยทิวเขาสวยๆ อย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องแปลกใจ และหลงรักเมืองหัวหินแห่งนี้มากขึ้นไปอีก

ไร่องุ่นแห่งนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตไวน์ได้รสชาติเยี่ยมครับ โดยไวน์ของเค้าส่งไปประกวดมาแล้วเกือบทั่วทุกมุมโลก และยังคว้ารางวัลสำคัญๆ มาจากหลายสถาบันอีกด้วย และหลังจากเราดื่มด่ำกับความงาม พร้อมเพลิดเพลิน รื่นคอ ไปกับการชิมไวน์คุณภาพแล้ว ก็ถึงเวลาโบกมือลา ไร่องุ่นแสนสวย กลับสู่เมืองกรุงแล้วล่ะค้าบ
     
      
และแล้วทริปนี้ ก็จบท้ายด้วยการนั่งรถไฟขบวนพิเศษ กลับมาถึงกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัย อ้อ! ขอบอกว่าบรรยากาศในขากลับ ทุกตารางนิ้วที่รถไฟแล่นผ่านไม้หมอนแต่ละท่อน ทิวทัศน์สองข้างทางยังคงสวยงามเช่นเคยนะครับ หากใครได้มาเที่ยวด้วยรถไฟแล้วละก็ ขากลับเข้าเมืองกรุงฯ ถ้าไม่ง่วงเหนื่อย (เพราะเพลียจากทริปสุดสนุก) จนเกินไป ก็ข่มตาชมธรรมชาติสวยๆ ก่อนเถอะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวัง
      ใครที่อยากไปร่วมกับทริป ขึ่นรถไฟเจรจาซื้อขายแพกเกจทัวร์แบบนี้ คงต้องเงี่ยหูรอฟังข่าวสารจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการรถไฟ กันต่อไปอีกนิด แต่ถ้าใครอดใจไม่ไหวอยากเดินทางไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเมืองหัวหินด้วยรถไฟสุดคาสสิกแบบนี้ละก็ วันหยุดนี้เชิญตีตั๋วขึ้นรถไฟตะลุยโลด
  สองวันหนึ่งคืน กับทริปแสนประทับใจนี้ ต้องขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทย มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
      
                                                     Credit : www.manager.co.th


ส้มตำ..แซ่บอีหลี
           ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง

ประวัติ
          ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
      ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย
การดัดแปลง
เป็นการประยุกต์จากส้มตำปกติมาเป็นส้มตำในแบบของท้องถิ่นหรือตามชอบ
  • ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
  • ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
  • ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
  • ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า
  • ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด
  • นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง," กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย," แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง," ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว," และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้
  • นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

ส่วนผสมหลัก
  • มะละกอสับ 400 กรัม
  • น้ำปรุงส้มตำ 120 กรัม
  • ถั่วฝักยาว 80 กรัม
  • มะเขือเทศ 120 กรัม
  • พริกขี้หนู 5 กรัม
  • กุ้งแห้ง 25 กรัม
  • กระเทียม 8 กรัม
  • น้ำมะนาว 20 กรัม
วิธีทำ
  • - โขลก พริก และกระเทียมพอแหลก
  • ใส่มะละกอ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ กุ้งแห้ง โขลกพอให้มะละกอช้ำนิดหน่อย ใส่น้ำปรุงส้มตำ และแต่งรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวอีกเล็กน้อย รับประทานกับผักสด เช่น กะหล่ำปลี ผักบุ้งไทย ถั่วฝักยาว



ประโยชน์ของส้มตำ
             ส้มตำเป็นอาหารยอดนิยมประเภทหนึ่ง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีรสชาติอร่อยและถูกปากคนไทยหลายๆ คน ทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่จะมีใครรู้บ้างว่านอกจากความอร่อยแล้ว ส้มตำมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่   
ส้มตำนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา คุณค่าจากพืชสมุนไพรที่เป็นองค์ประกอบในส้มตำ อาทิ

มะละกอ เป็นยานำบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
มะกอกรสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติแก้บิด แก้โรค
       เลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรค
ผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย
และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือด
ออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่ ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะ
เพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน
กะหล่ำปลีรสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ
ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินไข้เป็นยาระบายทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและ
สารหนู
กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ
Credit : Wikipedia /www.kroobannok.com

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การเต้น บีบอย
             บี-บอย (อังกฤษ: B-boy) หรือ บี-เกิร์ล (อังกฤษ: B-girl) คือคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมฮิปฮอป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเต้นเบรกแด๊นซ์ ที่มาของคำมาจากดีเจฮิปฮอปที่ชื่อ ดีเจ คู เฮิร์ก (อังกฤษ: DJ Kool Herc) ที่สังเกตว่ามีการตอบรับของกลุ่มนักเต้นในขณะที่เขาเปิดเพลงอยู่ โดยได้ตั้งชื่อพวกเขาว่าเป็น บีต-บอย (อังกฤษ: beat-boy) หรือ บี-บอย
กลุ่มบี-บอย สังเกตได้จากการแต่งกาย รสนิยมการฟังเพลง หรือวิถีชีวิต แต่ในปีหลัง ๆ จะดูเฉพาะเจาะจงเฉพาะกลุ่มนักเต้น
             การเต้นของนักเต้นบี-บอย จะมี 4 องค์ประกอบพื้นฐาน เริ่มจาก ท็อปร็อก (อังกฤษ: Toprock) องค์ประกอบที่ 2 คือ ดาวน์ร็อก (อังกฤษ: Downrock) หรือ ฟุตเวิร์ก (อังกฤษ: Footwork) องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (อังกฤษ: Freeze) และองค์ประกอบสุดท้ายคือ พาวเวอร์ (อังกฤษ: Power)

ประวัติ
เบรกกิ้ง (Breaking) หรือ บี-บอยอิ่ง (b-boying) โดยทั่วไปจะเรียกกันในชื่อ Breakdance (เบรกแดนซ์) เป็นรูปแบบการเต้นที่พัฒนา ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป ในกลุ่มวัยรุ่นคนดำและละตินอเมริกา ในเซาท์บรองซ์ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า บี-บอย มาจากคำว่า เบรกบอย (break boy) ด้วยเหตุผลที่พวกเขาจะเป็นพวกเต้นโดยเฉพาะ. โดยจะเต้นทั้งในแนวเพลงฮิปฮอป, ฟังค์ และ แนวเพลงอื่น ๆ ด้วยที่มักเป็นดนตรีรีมิกซ์ ที่คั่นระหว่างเพลงพัก
4 องค์ประกอบเบื้องต้นมาจากรากฐานในการเต้น เบรกกิ้ง (Breaking) องค์ประกอบแรกคือ ท๊อปร็อก (TopRock) คำศัพท์ที่ว่านี้จะหมายถึง เป็นการเต้นที่ มีรูปแบบเป็นลักษณะยืนเต้นซึ่งแปลตรงตัวเลยตามคำคือ Top แปลว่าด้านบน Rock คือการเขย่าหรือโยก นั่นเอง องค์ประกอบที่ 2 ดาวน์ร็อก (Downrock) แปลตรงตัวอีกเช่นกัน คือ Down แปลว่า ด้านล่าง Rock แปลว่าเขย่าหรือโยก แปลรวมกันคือ การเต้นแบบด้านล่าง ซึ่งจะเรียกกันอีกอย่างว่า ฟุตเวิร์ก (Footwork) เป็นการเต้นลงบนพื้น องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (Freeze) เป็นท่าจบ โดยจะ จะหยุดโพสท่าต่างๆ เมื่อต้องการที่จะทำการจบการเต้น หรือ ต้องการหยุดตามจังหวะเพลง อาจจะเป็นท่าโพสท่าแบบธรรมดา หรือ เป็นท่าที่ผาดโผนก็ได้ เช่น โพสแบบกลับหัว องค์ประกอบที่ 4 คือ พาวเวอร์มูฟ (Powermove) เป็นท่าที่ใช้พลังของ ร่างกายและแรงเหวี่ยง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นท่าที่ผาดโผนโดยเป็นส่วนของในการเคลื่อนไหว ในการทำท่าหมุนบนพื้นหรือบนอากาศ  คำว่า เบรกแดนซ์ซิ่ง (breakdancing) จะยังไม่เป็นที่ยอมรับในวัฒนธรรมฮิปฮอป เพราะเป็นคำที่แต่งขึ้นมาโดยสื่อมวลชนเพื่ออธิบาย การเบรกกิง หรือ บี-บอย บนถนน ผู้บุกเบิกรูปแบบศิลปะส่วนใหญ่และผู้ฝึกที่โด่งดัง เรียกท่าเต้นดังกล่าว ว่า บี-บอยอิง (b-boying)



Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของ
อิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)
ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง
"เบรกกิ้ง" เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ
ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวัน
ออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจาก
คาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)-
-นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วง
จังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียว
เรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการ

ขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียง
พร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไป
ซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่
วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันใน
ชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การ
เต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกัน
และชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียก
ว่า"Charlie Rock" อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลง
ยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้น
ที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot

ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณี
การเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิป
ฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่า
เต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วง
ท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork
(floor rocking) และ freezes
Floor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค
70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้าย
อย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า
เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown
หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

Freezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้า
ทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ baby
freeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระ
ดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน
ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพก
เป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอา
ชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะ
และการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น
เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆ
กลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และ
กลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners,
Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,
Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders
(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ
ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้น
ที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob
(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,
Lil' Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),
Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯ
กลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไป
ก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)
กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ
Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,
Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!
ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่น
ใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้น
เช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
ท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการ
คิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆ

ในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่
'Rock Steady Crew' , 'NYC Breakers' , 'Dynamic Rockers' , 'United States
Breakers' , 'Crazy Breakers' , 'Floor Lords' , 'Floor Masters' , 'Incredible
Breakers' , 'Magnificent Force' ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,
German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (Incredible
Body Mechanic) ฯลฯ.

การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่าง
Rock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crew
กับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80
การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชน
และในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crew
ที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ-
-Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ "Style Wars" และได้รับ
การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทาง
ไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น "Roxy" คลับ
โรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.



ปี1983 ภาพยนตร์ "Flashdance" เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของ
Malcolm McLarens ที่ชื่อ "Buffalo Gals" ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew
นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จ
ของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่
ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง
"Wild Style" ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรก
ของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทาง
ไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์
เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรป
ในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง"Beat Street" เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้
แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Force
และในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของ
บีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน "Swatch Watch NYC Fresh Tour"
ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ "Breakin" ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย
"Breakin 2: Electric Boogaloo" ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับ
ชื่อ "Radio" (ภายหลังชื่อ "Radiotron") ใน LA
' Breakin' หรือ Breakdance' ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลาย
เป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,Right
Guard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That's Incredible!,
David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์
ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วย
จวบจนปัจจุบัน "บีบอย" ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และ
ได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็น
สนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป.......


Credit : www.google.com
ขายหัวเราะ
         ขายหัวเราะ เป็นชื่อของนิตยสารการ์ตูนไทยรายสัปดาห์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ภายใต้การบริหารงานของ วิธิต อุตสาหจิต และเป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเล่มหนึ่งในประเทศไทย ควบคู่ไปกับนิตยสารมหาสนุก ซึ่งจัดพิมพ์โดยบรรลือสาส์นเช่นกัน เริ่มตีพิมพ์ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 ในเวลาต่อมา ทางบันลือกรุ๊ป ได้ใช้งบ 10 ล้านบาทสำหรับการจัดทำขายหัวเราะในรูปแบบอีแม็กกาซีนโดยเวอร์ชันทดลองแรกเริ่ม มียอดดาวน์โหลดกว่า 2 หมื่นครั้ง ภายในช่วงระยะเวลา 4 วัน นอกจากนี้ ขายหัวเราะยังจัดเป็นนิตยสารการ์ตูนไทยที่สามารถทำยอดขายได้กว่าล้านเล่มของแต่ละเดือน ตลอดช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
                                  รูปแบบของหนังสือ
ขายหัวเราะ เป็นนิตยสารที่นำเสนอการ์ตูนตลกสามช่องจบ หรือ การ์ตูนแก๊กเกือบตลอดทั้งเล่ม ภายในลงพิมพ์เรื่องขำขันแทรกเป็นช่วงๆ และเรื่องสั้นสามเรื่องในแต่ละฉบับ ซึ่งไอเดียในการเขียนการ์ตูนแก๊ก ขำขัน และเรื่องสั้นเหล่านี้ ผู้อ่านสามารถเขียนเพื่อนำเสนอให้ทางนิตยสารตีพิมพ์ได้ โดยต้องผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการก่อน นักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนก็เคยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับนี้ เช่น อธิชัย บุญประสิทธิ์, ดำรง อารีกุล, น้ำอบ, นอติลุส, เพชรน้ำเอก เป็นต้น
         ส่วนขนาดรูปเล่มของขายหัวเราะ ในสมัยเริ่มแรกมีรูปเล่มขนาดใหญ่เท่ากระดาษ A4 ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 จึงได้เริ่มปรับขนาดหนังสือให้เล็กลง โดยใช้ชื่อหนังสือเล่มเล็กว่า "ขายหัวเราะฉบับกระเป๋า" มีขนาดเท่ากระดาษ B5 ซึ่งเป็นขนาดของหนังสือขายหัวเราะในปัจจุบัน ส่วนขายหัวเราะฉบับเดิมก็ยังคงพิมพ์ต่อไป จนกระทั่งมีการยกเลิกในเวลาต่อมา เหลือเพียงขายหัวเราะฉบับกระเป๋าเท่านั้น
           ราคาขายของขายหัวเราะในสมัยเล่มใหญ่นั้นอยู่ที่ 5 บาท (ต่อมาได้เพิ่มเป็น 6 และ 7 บาท) ต่อมาเมื่อมีการปรับขนาดลงมาเป็นฉบับกระเป๋า จึงมีการปรับราคาหนังสือใหม่เป็น 10 บาท ภายหลังจึงขึ้นราคาเป็น 12 บาท และ 15 บาท (ราคาปัจจุบัน ปรับขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549) ตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
กำหนดการออกนิตยสารนั้นเดิมกำหนดออกเป็นรายปักษ์ (ราย 15 วัน) ภายหลังจึงปรับให้ออกเป็นรายสิบวันและรายสัปดาห์พร้อมกับมหาสนุก โดยขายหัวเราะมีกำหนดออกในวันอังคาร ส่วนมหาสนุกออกจำหน่ายในวันศุกร์ ต่อมาจึงปรับกำหนดออกอีกครั้งให้เป็นวันพุธทั้งสองฉบับในเดือนเมษายน พ.ศ. 2541

นักเขียนการ์ตูนของขายหัวเราะ

 นักเขียนในปัจจุบัน

รายชื่อนักเขียนของขายหัวเราะในปัจจุบันนี้อ้างอิงตามที่ปรากฏรายชื่อนามปากกาในนิตยสารขายหัวเราะ ฉบับที่ 1033 ประจำวันพุธที่ 20-26 พฤษภาคม 2552
  • วัฒนา (วัฒนา เพ็ชรสุวรรณ, นามปากกาอื่น: ตาโต) - แฟนการ์ตูนนิยมเรียกว่า "อาวัฒน์" ปัจจุบันดูแลนิตยสาร "เบบี้" เขียนปกนิตยสาร "ขายหัวเราะ" และมีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ข่าวสดและนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์
  • จุ๋มจิ๋ม (จำนูญ เล็กสมทิศ) - ปัจจุบันรับผิดชอบดูแลนิตยสารหนูจ๋าเพียงฉบับเดียวเท่านั้น แต่ยังปรากฏรายชื่อนักเขียนอยู่ในขายหัวเราะและมหาสนุก
  • ต่าย (ภักดี แสนทวีสุข) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "ปังปอนด์"
  • นิค (นิพนธ์ เสงี่ยมศักดิ์) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "คนอลเวง"
  • ต้อม (สุพล เมนาคม) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "แก๊งจอมป่วน"
  • เฟน (อารีเฟน ฮะซานี) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่"  "รามาวตาร"
  • หมู (สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "กระบี่หยามยุทธภพ" และ "สามก๊ก มหาสนุก"
  • ปุ๋ย (ศุภมิตร จันทร์แจ่ม) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "สติแตกสุดขอบฟ้า"
  • ขวด (ณรงค์ จรุงธรรมโชติ) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "แนวร่วมต๋อง"
  • เอ๊าะ (ผดุง ไกรศรี) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุดหนูหิ่น อินเตอร์
  • โย่ง (อัครเดช มณีพันธุ์)
  • ช่วง (ช่วง ชุ่มวงศ์)-เจ้าของผลงานชุด "มดตะนอยตัวจ้อยแต่จ๊าบ"
  • ก๊อก (พิชิต สรรพพันธ์)
  • น็อต (พรพล สำหรับสุข) - ปัจจุบันมีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
  • ดั๊มพ์ (พนัส คุ้มคำมี)(ฉายา ดั๊มพ์ ด๊อกแด๊ก)
  • ป้อม (ศุภชัย ลัทธิรมย์)
  • โดด (สมพงษ์ สุวรรณดี)
  • เอ๊ะ (ภูวดล ปุณยประยูร)
  • จ๊ะโอ๋ (นิวัฒน์ ทองสุข)
  • ไก่ (ธรรมรัตน์ รมย์นุกูล)(ฉายา ไก่ กุ๊กกิ๊ก) - ปกติทำหน้าที่ในกอง บก. ขายหัวเราะและมหาสนุก ตำแหน่งบรรณาธิการที่ปรึกษา
  • เด่น (จักรพงศ์ กว้างขวาง)
  • วุ่น (พิรุณ บุญประเสริฐ)
  • ก้าง (พรพิทักษ์ ประเสริฐ)
  • วิรัตน์ (วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ)
  • มังกร (มังกร สรพล)
  • ยุง (จีรพงษ์ ศรนคร)
  • น้อยหน่า (สุริยา อุทัยรัศมี)
  • เดอะดวง (วีระชัย ดวงพลา) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "เรื่องมีอยู่ว่า" และได้รับรางวัลการ์ตูนมังงะจากญี่ปุ่น
  • ต้น (จักรพันธ์ ห้วยเพชร) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุดสตรีทบอลสะท้านฟ้า และได้รับรางวัลการ์ตูนมังงะจากญี่ปุ่น
  • บอย (นามปากกาอื่น : ไอ้บอย) - นักเขียนหน้าใหม่และเป็นนักเขียนวัยรุ่นคนแรกของขายหัวเราะกับมหาสนุก
  • ม่อน - นักเขียนหน้าใหม่และเป็นนักเขียนวัยเยาว์คนแรกของขายหัวเราะ-มหาสนุก
  • อั๋น-(นามปากกาอื่น:บักอั๋น)นักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่และเป็นนักเขียนวัยรุ่นคนรองต่อจากไอ้บอย

 Credit : Wikipedia